Covenant Protestant Reformed Church
Bookmark and Share

ความเสื่อมทรามโดยสิ้นเชิง (Total Depravity)

ศาสนาจารย์ Gise Van Baren

 

ประเด็น

ประเด็นของ "ความเสื่อมทรามโดยสิ้นเชิง" ไม่ได้เป็นสิ่งที่รู้ได้อย่างทั่วไปหรือเป็นหลักข้อเชื่อที่อยู่ในคริสตจักรของโลกแห่งยุคของเรานี้ ในทางตรงกันข้าม มีการถ่ายทอดออกมาอย่างบ่อยครั้งซึ่งยาวนานและเป็นที่นิยมกว่าว่า : "มีความชั่วบางอย่างในสิ่งที่ดีที่สุดของเรา, และมีความดีบางอย่างในความชั่วที่สุดของเรา" ซึ่งเป็นที่รู้กันว่านั่นได้บ่งชี้ถึงหลักคำสอน "ความเสื่อมทรามโดยสิ้นเชิง" ได้ถูกถอดออกอย่างชัดเจน เพราะฉะนั้นมันคือสิ่งสำคัญที่เราจะต้องเข้าใจถึงความจริงนี้ซึ่งเกี่ยวข้องกับความเสื่อมทรามโดยสิ้นเชิง คริสตจักร และคริสเตียนแต่ละคนผู้รักพระวจนะของพระเจ้า ต้องยึดถือการสอนจากพระคัมภีร์ที่สำคัญนี้

อะไรคือสิ่งที่เราจะต้องเข้าใจถึง "ความเสื่อมทรามโดยสิ้นเชิง?" วลีนี้ประกอบด้วยคำสองคำซึ่งมีความหมายชัดเจนในตัวมันเอง "ความเสื่อมทราม (Depravity)" หมายถึง ความเลวทราม (Wickedness), ความชั่วร้าย(Corruption); ความชั่วร้ายโดยกำเนิดของผู้ที่ไม่ได้บังเกิดใหม่. แล้วเพิ่มอีกคำคือ "โดยสมบูรณ์ หรือ โดยสิ้นเชิง (Total)" เพื่อเน้นถึงความเสื่อมทรามโดยปราศจากข้อสงสัยใดๆ โดยความจริงแล้วในธรรมชาติของมนุษย์ไม่มีคุณงามความดีใดๆเลย─ในมนุษย์ผู้บังเกิดจากการล่วงละเมิดของอาดัม วลี "ความเสื่อมทรามโดยสิ้นเชิง" ได้เน้นถึงแนวทางที่เป็นไปได้อย่างหนักแน่นถึงความจริงตามพระคัมภีร์ซึ่งไม่มีคุณความดีใดๆในธรรมชาติทั้งมวลของมนุษย์

 

ข้อพิสูจน์ตามพระคัมภีร์

มีคำสอนที่ชัดเจนจากพระคัมภีร์ ขอให้เปิดพระคัมภีร์ของคุณ ข้อพระคัมภีร์แรกที่ ปฐมกาล 8:21 "...และพระผู้เป็นเจ้าทรงดำริในพระทัยว่า "เราจะไม่สาปแช่งแผ่นดินอีกเพราะเหตุมนุษย์ ด้วยว่าเจตนาในใจของเขาล้วนแต่ชั่วร้ายตั้งแต่เด็กมา"..." เป็นข้อพิสูจน์ว่ามนุษย์นั่นชั่วร้ายแล้วตั้งแต่วัยเยาว์ และพระเจ้าทรงเปิดเผยอย่างทันท่วงทีนี้หลังจากน้ำท่วมซึ่งมีเพียงประชากรที่หลงเหลืออยู่ในโลกได้แก่ โนอาห์และครอบครัวของเขา

ข้อพระคัมภีร์ที่สอง คือ สดุดี 51:5 เมื่อดาวิดสารภาพบาป "ดูเถิด ข้าพระองค์ถือกำเนิดมาในความชั่วช้า และมารดาตั้งครรภ์ข้าพระองค์ในบาป" คุณอาจเคยได้ยินคนพูดว่า บรรดาทารกนั้น "ไร้เดียงสา"─ แต่จากพระธรรมสดุดียืนยันว่าเขาบังเกิดมาในความบาป เขาไม่ได้ไตร่ตรองตัวเขาเองว่าเขาไร้เดียงสาตั้งแต่เกิด─แต่เขาได้เสื่อมทรามแล้วตั้งแต่เป็นทารก

อีกครั้ง, ให้เราอ่านใน เยเรมีย์ 17:9 "จิตใจก็เป็นตัวล่อลวงเหนือกว่าสิ่งใดทั้งหมด มันเสื่อมทรามอย่างร้ายทีเดียว ผู้ใดจะรู้จักใจนั้นเล่า"

ต่อไปที่ภาคพันธสัญญาใหม่ ข้อพระคัมภีร์แรกที่ โรม 3:10-18 (ซึ่งได้ถูกยกมาจาก สดุดี บทที่ 14) ให้เราอ่าน "ตามที่มีเขียนไว้แล้วว่า `ไม่มีผู้ใดเป็นคนชอบธรรมสักคนเดียว ไม่มีเลย ไม่มีคนที่เข้าใจ ไม่มีคนที่แสวงหาพระเจ้า เขาทุกคนหลงทางไปหมด เขาทั้งปวงเป็นคนไร้ค่าเหมือนกันทั้งสิ้น ไม่มีสักคนเดียวที่ทำดี ไม่มีเลย ลำคอของเขาคือหลุมฝังศพที่เปิดอยู่ เขาใช้ลิ้นของเขาในการล่อลวง ภายใต้ริมฝีปากของเขามีพิษของงูร้าย ปากของเขาเต็มด้วยคำแช่งด่าและคำขมขื่น เท้าของเขาว่องไวในการทำให้นองเลือด ในทางเดินของเขามีความพินาศและความทุกข์ และเขาไม่รู้จักทางแห่งสันติสุข ในแววตาของเขาไม่มีความเกรงกลัวพระเจ้า' " และได้ถ่ายทอดบางส่วนอีกใน โรม 7:28 "ด้วยว่าข้าพเจ้ารู้ว่าในตัวข้าพเจ้า (คือในเนื้อหนังของข้าพเจ้า) ไม่มีความดีประการใดอยู่เลย เพราะว่าเจตนาดีข้าพเจ้าก็มีอยู่ แต่ซึ่งจะกระทำการดีนั้นข้าพเจ้าหาได้กระทำไม่ "

ได้มีข้อพระคัมภีร์หลายข้อซึ่งยืนยันในความจริงที่ธรรมชาติมนุษย์นั้นได้ชั่วร้ายอย่างสิ้นเชิง ธรรมชาติมนุษย์ไม่อาจทำความดีใดๆได้เลย เขาไม่สามารถได้รับความโปรดปรานจากพระเจ้า เขาไม่อาจเชื่อฟังธรรมบัญญัติอันบริสุทธิ์ของพระเจ้า เขาไม่อาจปรารถนาที่จะเข้าไปในพระสิริอันนิจนิรันดร์ได้

 

ข้อพิสูจน์จากหลักข้อเชื่อ

จากคำสอนอันชัดแจ้งซึ่งอยู่บนพื้นฐานของพระคัมภีร์ ในหลักข้อเชื่อเก่าของคริสตจักได้ยืนยันถึงความจริงนี้ รวบรัดแต่ชัดเจน จากหลักคำสอน Heidelberg ได้สอนในรูปแบบคำถามและคำตอบ ในข้อที่8 "เรานั้นชั่วร้ายซึ่งไร้ความสามารถที่จะกระทำสิ่งดีและมีแนวโน้มเอียงไปยังความเลวทรามหรือไม่? แท้จริงแล้วเราเป็นเช่นนั้น ยกเว้นว่าเราจะได้รับการบังเกิดใหม่ด้วยพระวิญญาณของพระเจ้า"

ในหลักข้อเชื่อ Belgic ได้เปิดเผยในหัวข้อที่ 14 "... และมนุษย์ได้เลวทราม (Wicked), เสื่อมทราม (Perverse), และชั่วร้าย (Corrupt) ในทุกๆหนทางของเขา เขาได้สูญเสียของประทานอันล้ำเลิศของเขา ซึ่งเขาได้รับจากพระเจ้า และมีเพียงเล็กน้อยที่ได้รับการรักษาไว้ซึ่งยังเหลืออยู่ แต่อย่างไรก็ตามก็เพียงพอที่ทำให้การให้การอภัยถูกพรากไปจากมนุษย์ สำหรับความสว่างทั้งมวลที่อยู่ในเราที่จะเปลี่ยนเราไปสู่ความมืดมิด ดั่งที่พระคัมภีร์ได้สอนเราไว้ กล่าวว่า : ความ​สว่าง​ส่อง​เข้า​มา​ใน​ความ​มืด และ​ความ​มืด​หา​ได้​ชนะ​ความ​สว่าง​ไม่; ซึ่งอาจารย์ได้เรียกมนุษย์ความมืด..."

ทั้งหมดทั้งมวลนี้เพียงพอแล้วสำหรับข้อพิสูจน์ซึ่งพระคัมภีร์และหลักข้อเชื่อเก่าของคริสตจักรของพระคริสต์ได้สอนว่ามนุษย์มีธรรมชาติที่เสื่อมทรามโดยสิ้นเชิง─ซึ่งก็คือ มนุษย์ไม่อาจทำความดีได้เลย

 

อย่างสมบูรณ์? หรือ อย่างแน่แท้?

แต่กระนั้น แม้ว่าทั้งหมดทั้งมวลนี้เป็นคำสอนจากพระคัมภีร์อย่างชัดเจน แต่ก็มีบางคนพยายามที่จะหลีกเลี่ยงหรือปฏิเสธความจริงที่ชัดแจ้งในตัวมันเองนี้ มันได้ถูกสอนว่ามนุษย์นั้นเสื่อมทรามโดยสิ้นเชิง (Total Depraved) แต่ไม่เสื่อมทรามอย่างแน่แท้ (Absolutely Depraved) ถึงแม้ว่า วลี "ความเสื่อมทรามโดยสิ้นเชิง" น่าจะรองรับอย่างไม่ต้องสงสัยถึงความเกี่ยวข้องกับสถานะความชั่วร้ายของมนุษย์ แต่บางคนยังคงยืนยันว่าไม่เสื่อมทรามอย่างแน่แท้ ขอยกตัวอย่างถึงการตัดแต่งแอปเปิ้ลเน่า ซึ่งการตัดแต่งเปรียบเหมือนกับการเน่าอย่างสิ้นเชิงถ้าแอปเปิ้ลแต่ละผลมีจุดเน่าแค่บางจุด─แต่กระนั้นบางทีก็ยังมีบางส่วนที่ดี การตัดแต่งแอปเปิ้ลหลายๆผลเปรียบเหมือนการเน่าอย่างแน่แท้ถ้าแอปเปิ้ลแต่ละผลได้เน่าเสียทั่วทั้งลูก ดังนั้นอาจกล่าวได้ว่าบางส่วรของมนุษย์แต่ละคนได้เน่าเสียในความบาป─แต่แต่ละส่วนไม่ได้ชั่วร้ายอย่างไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้โดยสมบูรณ์ ความคิดทั้งหมดนี้ได้พยายามที่จะปฏิเสธความเสื่อมทรามโดยสิ้นเชิง และแม้กระนั้นก็ยังคงเก็บวลีนี้ไว้ มนุษย์นั้นเต็มไปด้วยความเสื่อมทรามและนั่นก็สมบูรณ์ในตัวของเขาเอง─หรือไม่ก็ เขานั้นไม่ได้เสื่อมทราม

 

แนวคิดอื่นๆที่ไม่ถูกต้อง

ในแนวคิดอื่นที่ไม่ถูกต้องมองว่าธรรมชาติของมนุษย์นั้นได้ปรากฏในประวัติศาสตร์คริสตจักร ในมุมมองของกลุ่ม Pelagianism ซึ่งเคยมีอยู่เมื่อ400ปีหลังจากที่พระคริสต์เสด็จขึ้นสวรรค์ Pelagius ผู้ริเริ่มแนวคิดนี้ได้กล่าวว่า เมื่ออาดัมได้กระทำบาป เขามีวามผิดเฉพาะตัวของเขาเอง─ลูกหลานภายหลังของเขาไม่ได้รับผล เขาเสนอต่อไปอีกว่าเด็กทารกที่เกิดมาในโลกทุกคนนั้นเกิดในสถานะและสภาวะเดียวเฉกเช่นอาดัมก่อนที่อาดัมจะล่วงละเมิด เด็กทารกทุกคนนั้นเกิดมาในโลกนี้อย่างสมบูรณ์ไร้ที่ติและปราศจากบาป Pelagius ได้ให้เหตุผลถึงการมีอยู่ของบาปในมนุษย์ทุกคนหรือไม่? เขายืนยันว่าเราได้เป็นคนบาปเมื่อเราทำแบบอย่างจากคนอื่น เพราะฉะนั้นเมื่อทารกเริ่มเลียนแบบพ่อแม่หรือคนอื่นๆที่ทารกได้สังเกตเห็น แล้วทารกจึงได้มาเป็นคนบาป และหนทางที่จะเปลี่ยนจากคนบาปมาเป็นธรรมิกชนได้ คือต้องชักชวนพวกเขาให้เลียนแบบผู้ที่เป็นคนดี มันเป็นศักยภาพที่อยู่ในมนุษย์ทุกคน Pelagiusได้กล่าวเช่นนั้น ที่จะเลียนแบบการทำดีและคู่ควรกับชีวิตนิรันดร์

แนวคิด Pelagianism นั้น ไม่ได้เป็นเรื่องแปลกสำหรับคริสตจักรอื่นๆในวันนี้ ในความจริงแล้วมันเป็นหลักการของกลุ่มสังคมพระกิตติคุณในทุกวันนี้ ในคริสตจักรซึ่งมีการขับเคลื่อนอย่างแข็งขันที่จะเปลี่ยนแปลงสถานะทางสังคมในยุคนี้ คริสตจักรเหล่านั้นคิดเอาเองว่าได้เห็นบ้านที่ดีกว่าสำหรับคนจนและกลุ่มชนกลุ่มน้อย พวกเขาควรจะเห็นว่ามนุษย์ทุกคนนั้นควรจะมีการรักษาทางการแพทย์และการศึกษาอย่างเพียงพอ พวกเขาควรที่จะขับเคลื่อนความร่วมเป็นหนึ่งเดียวเป็นอันดับแรก ดังนั้น จากทฤษฎีที่ว่ามา ถ้าเราประสบความสำเร็จในจุดหมายของเราในขอบข่ายนี้ เราไม่อาจจะประสบความยุ่งยากมากนักในความบาป, ความชั่วร้าย, และพฤติกรรมในความเลวทรามทั้งมวล เป็นไปได้ที่เราจะไม่ต้องการคุกอีกต่อไป จำนวนของตำรวจก็สามารถลดลง เราอาจไม่ต้องพบความยุ่งยากกับเยาวชนและผู้ใหญ่ที่ทำผิดกฎหมาย โลกจะค่อยๆเปลี่ยนแปลงไปตามโลกในอุดมคติ แต่นี่อยู่บนพื้นฐานการสอนผิดของ Pelagius ถ้าผู้คนที่อาศัยอยู่รอบข้างนั้นเป็นคนดี ถ้าพวกเขาสามารถเลียนแบบตัวอย่างที่ดี ดังนั้นเขาจึงเป็นคนดี แต่นี่ได้ปฏิเสธความจริงตามพระคัมภีร์เกี่ยวกับความเสื่อมทรามโดยสิ้นเชิง

แนวคิดที่สอนผิดอื่นได้แก่ แนวคิดของกลุ่มอาร์มิเนียน(Arminianism) กลุ่มอาร์มิเนียนหรือกลุ่มที่สอนเรื่องน้ำใจอิสระ(Free-willism) นั้นได้ปฏิเสธอย่างมากถึงความจริงของความเสื่อมทรามโดยสิ้นเชิง กลุ่มอาร์มิเนียนสอนว่ามนุษย์นั้นได้ถูกสงสัยเรื่องความเสื่อมทรามโดยสิ้นเชิงหลังจากการล่วงละเมิด พระเจ้าได้เข้าแทรกด้วยพระคุณของพระองค์ การทำงานของพระคุณของพระเจ้านี้มีอยู่เหนือมนุษย์รวมถึงสองการทำงานซึ่งแบ่งเบาความเสื่อมทราม ข้อแรกกลุ่มอาร์มิเนียนคิดว่ามนุษย์สามารถตัดสินใจสิ่งดีได้ด้วยตัวของเขาเอง แต่อย่างไรก็ตามด้วยการทำงานของพระคุณของพระเจ้าอยู่เหนือผู้ซึ่งสามารถตัดสินใจที่จะเลือกทำความดีในขณะนี้

แต่กลุ่มอาร์มีเนียนสอนมากกว่านั้น เขาเสนอว่าธรรมชาติมนุษย์นั้นโดยเริ่มต้นได้เสื่อมทรามโดยสิ้นเชิง ซึ่งบัดนี้ผู้ที่สามารถยอมรับพระคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดเป็นการส่วนตัว ผ่านการทำหน้าที่ของความประสงค์ของมนุษย์ สามารถที่จะปฏิเสธหรือยอมรับพระผู้ช่วยให้รอด กลุ่มอาร์มีเนียนเสนอว่ามนุษย์สามารถรับพระคริสต์ได้ด้วยเพียงพระคุณ─แต่มนุษย์ทุกคนได้รับพระคุณอย่างเพียงพอโดยพระเจ้าจะมอบให้แก่ผู้ที่ยอมรับพระคริสต์ นั่นคือข้อแตกต่างระหว่างผู้ที่ได้รับความรอดและไม่ได้รับความรอด จากการสอนของกลุ่มอาร์มีเนียนแล้ว ไม่อาจพบได้ว่าคนหนึ่งคนใดได้รับพระคุณของพระเจ้าและคนอื่นๆไม่ได้รับ แต่ในความเป็นจริงแล้วความประสงค์ของมนุษย์ก็เพื่อตัวของเขาเอง การสอนผิดในมุมมองของกลุ่มอาร์มีเนียนนั้นได้ปฏิเสธทั้งความจริงจากพระคัมภีร์โดยที่ความรอดนั้นมาจากความประสงค์ของมนุษย์ซึ่งได้แยกจากพระคุณของพระเจ้า และความจริงจากพระคัมภีร์นั้นสอนว่ามนุษย์มีธรรมชาติที่ตายไปแล้วซึ่งเขาไม่อาจจะ "ยอมรับพระคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเขาเป็นการส่วนตัว"

 

ความหมายสำคัญของ "ความเสื่อมทรามโดยสิ้นเชิง"

เรายืนหยัดบนพื้นฐานแนวทางตามพระคัมภีร์ มนุษย์นั้นโดยธรรมชาติแล้วได้ตายลงแล้วในบาปอย่างสมบูรณ์ นอกเหนือจากโดยทางพระคริสต์แล้ว มนุษย์ไม่สามารถทำสิ่งที่ดีได้เลยเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า มนุษย์ไม่สามารถทำสิ่งที่ดีได้เลยบนโลกใบนี้ทั้งใน "ทางธรรมชาติ" และ "ทางสามัญสำนึก" และไม่มีผู้ใดสามารถพัฒนาความประสงค์ของตนที่จะ "ยอมรับ" พระคริสต์─เหตุว่าความประสงค์ของเขาถูกจำกัดด้วยความบาปและความตาย

บางคนไม่เห็นด้วย ที่มนุษย์ในโลกนี้ผู้ซึ่งอยู่นอกคริสตจักรก็ได้ทำคุณความดีมามากมาย ชัดแจ้งแล้วว่ามนุษย์ไม่ได้เสื่อมทรามอย่างสมบูรณ์ คนร่ำรวยคนหนึ่งบริจาคเงินเป็นล้านดอลลาร์เพื่อสร้างและบำรุงรักษาโรงพยาบาล เพื่อช่วยคนยากจนและช่วยเหลือมวลมนุษยชาติ นี่คือความบาป─หรือนี่คือคุณความดี? เพื่อนบ้านของคุณอาจไม่ได้ไปคริสตจักรหรือไม่ได้อธิษฐาน─แต่เขาได้มีความสัมพันธ์อันน่าอัศจรรย์กับครอบครัว นี่คือความดี─หรือนี่คือสิ่งชั่วร้าย? มนุษย์ช่วยเพื่อนมนุษย์ด้วยกันจากการจมน้ำในขณะที่เขาก็เสี่ยงที่จะสูญเสียชีวิตของเขาเอง นี่คือความดี─หรือสิ่งชั่วร้าย? คำถามเหล่านี้ได้ผุดขึ้นพร้อมกับคำถามว่า : คนบาปนั้นเสื่อมทรามโดยสิ้นเชิงอย่างแท้จริงหรือเปล่า?

ในแสงแห่งพระคัมภีร์ เราต้องยังคงยึดมั่นว่าบุคคลใดก็ตามซึ่งอยู่นอกพระคริสต์นั้น ทุกๆสิ่งที่เขาทำนั้นบาป เราต้องระมัดระวังไม่ให้ผิดพลาด อะไรก็ตามที่เราอาจคิดว่าดีอาจดีในสายตาของพระเจ้า มนุษย์อาจรักและรับใช้พระเจ้าหรือเขาอาจจะไม่ในเช่นเดียวกัน เขาอาจจะอยู่ฝ่ายพระคริสต์หรือต่อต้านพระองค์ด้วย เขาอาจจะกระทำบางสิ่งทั้งในความเชื่อแท้จริงและเพื่อพระสิริของพระเจ้าหรืออาจจะช่วยเหลือคนอื่นเพื่อชื่อเสียงของตนก็ได้ แต่ไม่อาจมีสิ่งซึ่งอยู่ระหว่างกลาง มันไม่แตกต่างเลยถ้าคนคนนึงจะบริจาคเงินเป็นล้านให้โรงพยาบาล หรืออีกทั้งมีชีวิตครอบครัวที่ดี หรือช่วยคนที่กำลังจมน้ำด้วยตัวคนเดียว─ในทั้งหมดนี้โดยธรรมชาติมนุษย์ที่ไม่ได้เดินในหนทางแห่งความเชื่อนั้นเป็นบาปและความชั่วร้าย พระเจ้าทรงพิพากษาเขาในทุกๆกิจการแห่งความบาป

ถึงแม้ว่ามนุษย์ทุกคนได้ตกในความเสื่อมทรามอย่างสิ้นเชิง, ถึงแม้ว่าทุกๆการกระทำของพวกเขาได้ทำโดยธรรมชาติแห่งความบาป─แต่ก็ยังคงมีบุคคลที่แตกต่างออกไป มนุษย์ทุกคนไม่ได้ทำบาปในความรุนแรงที่เหมือนกันหรือแสดงออกอย่างเหมือนกัน ในขั้นแรก ประเภทและความรุนแรงของบาปของมนุษย์นั้นพิจารณาตามยุคซึ่งเขาดำรงชีวิตอยู่ ดูอย่างง่ายๆในทุกวันนี้ จากรายการวิทยุ,รายการโทรทัศน์,และโทรศัพท์มือถือ มนุษย์สามารถทำบาปได้หลายทาง ซึ่งคนยุคก่อนนั้นไม่สามารถทำได้ ขั้นที่สอง บาปได้ถูกจำกัดตามขนาดของความรุนแรงโดยสภาพแวดล้อมและสถานการณ์ บุคคลที่ร่ำรวยอาจมีเหตุที่จะทำบาปมาก และในทางเดียวกันมากกว่าบุคคลที่ยากจน แต่ทั้งคู่ก็ล้วนทำบาป ขั้นที่สาม ความรุนแรงของบาปถูกระบุตามอายุของบุคคล เด็กตัวเล็กๆไม่อาจมีหนทางทำบาปมากกว่าผู้ใหญ่ ท้ายสุด ความรุนแรงและประเภทของบาปในแต่ละบุคคลขึ้นอยู่กับความบ่อยครั้งที่เขากระทำโดยจิตสำนึกของเขาเอง─ซึ่งขึ้นอยู่กับความจองหองอันเห็นแก่ตัวของเขา เหตุใดบุคคลที่เลวทรามได้มีชีวิตอยู่อย่างสันติสุขและมีความสัมพันธ์กับครอบครัวของเขาอย่างน่าพึงพอใจ? ไม่ใช่เพราะพระเจ้าเรียกร้องให้กระทำตามธรรมบัญญัติของพระองค์ แต่เพราะเขาควรใจในผลการกระทำของเขา ในวิถีชีวิตที่เขาดำเนินอยู่ ในความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนมนุษย์ของเขา

แต่เหตุใดที่เป็นสิ่งสำคัญที่คริสตจักรจะต้องเน้นถึงความจริงของการเสื่อมทรามโดยสิ้นเชิง? ทำไมถึงต้องเน้นถึงความเลวร้ายแห่งความบาปของมนุษย์? ถ้าบางคนไม่เน้นถึงสิ่งนี้แล้ว เขาได้ละทิ้งหลักคำสอนสำคัญตามพระคัมภีร์เสียแล้ว บุคคลหนึ่งไม่สามารถเข้าใจถึงการไถ่บาปบนกางเขนได้ถ้าเขาไม่เข้าใจอย่างถูกต้องในการสอนตามพระคัมภีร์ถึงเรื่องความเสื่อมทราม เขาไม่อาจเข้าใจอย่างถูกต้องในการสอนตามพระคัมภีร์ถึงเรื่องความเสื่อมทรามได้ถ้าเขาไม่เข้าใจอย่างถูกต้องเรื่องความเสื่อมทราม แน่นอนทีเดียว ไม่สามารถเข้าใจอย่างถูกต้องถึงอำนาจสูงสุดของพระเจ้าผู้ซึ่งกระทำทุกสิ่งด้วยความเห็นพ้องต้องกันกับพระประสงค์ของพระองค์

เพราะฉะนั้นแล้ว คริสเตียนควรต้องเข้าใจถึงความจริงนี้และสอนเรื่องนี้แก่ลูกหลาน

และเด็กของพระเจ้าจะต้องมีชีวิตและดำเนินชีวิตอย่างตื่นตัวในความเสื่อมทรามทของธรรมชาติมนุษย์ ต้องไม่เริ่มที่จะแสดงความชื่นชมในผลผลิตแห่งโลก ต้องไม่เริ่มที่จะเลียนแบบและริษยา พึงระลึกว่ามนุษย์ทุกคนโดยตัวของเขาแล้วมีธรรมชาติที่ตายในบาป ตามเนื้อหนังของข้าพเจ้าแล้ว อาจารย์เปาโลเคยพูดไว้ว่า ไม่มีสิ่งใดที่ดี แต่เมื่อเข้าจว่าบรรดาผู้ที่มีความเชื่อเท่านั้นที่จะได้รับการทรงไถ่ ทั้งหมดทั้งสิ้นในพระโลหิตของพระเมษโปดก